วิกฤตโลกรออยู่เบื้องหน้า หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดจากความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล กระทบราคาน้ำมันพุ่ง เศรษฐกิจโลกสั่นคลอน
ในช่วงที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อประเด็นความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์อาจลุกลามไปสู่การปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” เส้นเลือดใหญ่ของการค้าพลังงานโลกที่หากถูกปิดขึ้นมาจริง ย่อมหมายถึงผลกระทบในระดับโลกแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดของโลก โดยตั้งอยู่ระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน มีความกว้างในจุดที่แคบที่สุดเพียง 33 กิโลเมตรเท่านั้น แต่กลับเป็นเส้นทางที่น้ำมันดิบประมาณ 20% ของการค้าทั่วโลก หรือราว 17 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไหลเวียนผ่านที่นี่ทุกวัน เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปริมาณมหาศาลที่ถูกส่งออกจากประเทศในภูมิภาคอ่าวอาหรับ ไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย คูเวต อิรัก ยูเออี กาตาร์ รวมถึงอิหร่านเอง ซึ่งการปิดช่องแคบนี้แม้เพียงระยะสั้น ก็จะกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทานพลังงานและเศรษฐกิจโลกในทันที
ความเสี่ยงที่ช่องแคบฮอร์มุซอาจถูกปิดไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการ เพราะในอดีตอิหร่านเคยขู่อย่างชัดเจนว่า หากถูกตัดสิทธิ์ในการส่งออกน้ำมัน หรือเผชิญการโจมตีทางทหารจากอิสราเอลหรือพันธมิตรตะวันตก อิหร่านจะ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” เพื่อตอบโต้ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอานุภาพสูงสุดอย่างหนึ่งของเตหะราน
การขู่นี้ไม่ใช่แค่คำขู่ในเชิงการทูต เพราะอิหร่านมีศักยภาพทั้งในเชิงภูมิประเทศ และอาวุธยุทโธปกรณ์ในการสกัดกั้นการเดินเรือบริเวณช่องแคบดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเพียงข่าวลือหรือเหตุการณ์โจมตีเรือบรรทุกน้ำมันบางส่วน ก็สามารถทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนได้ทันที ตัวอย่างเช่นในช่วงปี 2011-2012 ที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงเกือบ 20% เพียงเพราะความวิตกว่าช่องแคบฮอร์มุซอาจถูกปิด
ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เสี่ยงปะทุขึ้นอย่างแท้จริงในปี 2025 คือความตึงเครียดที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจากหลายด้าน ทั้งข้อกล่าวหาเรื่องโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธอย่างฮิซบุลเลาะห์ และบทบาทของอิหร่านในสงครามตัวแทนทั่วตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในซีเรีย เลบานอน และฉนวนกาซา ซึ่งอิสราเอลมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ อิสราเอลเองยังแสดงท่าทีพร้อมใช้กำลังทางทหารหากสถานการณ์บานปลาย โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรสำคัญที่มีบทบาททั้งในด้านการข่าวกรองและยุทโธปกรณ์ในภูมิภาค
หากเกิดสถานการณ์ที่อิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ผลกระทบจะเกิดขึ้นในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดน้ำมันโลกที่ราคาพุ่งทะยานในระดับที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่ยังรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงทันทีจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมักแข็งค่าขึ้นจากบทบาท “สินทรัพย์ปลอดภัย” แต่ในทางกลับกัน สกุลเงินของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย หรือกลุ่มประเทศในยุโรปจะเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูง
นอกจากนั้น ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ขนส่งออกจากกาตาร์ผ่านช่องแคบนี้จะกลายเป็นปัจจัยเร่งเงินเฟ้อในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกที่พึ่งพา LNG ในการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอย่างมาก อีกทั้งยังอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งยังไม่มีทางเลือกด้านพลังงานที่เพียงพอ
แม้หลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ซาอุดีอาระเบีย และยูเออี พยายามลดความเสี่ยงผ่านการสร้างท่อส่งน้ำมันบนบกไปยังทะเลแดง หรือการขนส่งทางเลือกอื่น แต่ความจริงก็คือ เส้นทางเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ทั้งหมดในระยะสั้น ในขณะที่ประเทศผู้นำเข้าพลังงานบางรายยังคงไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ทันที
สำหรับนักลงทุนทั่วโลก ความไม่แน่นอนนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ไม่ต่างจากนโยบายการเงินหรือเทคโนโลยี
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ