ความตึงเครียดตะวันออกกลางปะทุ ทั่วโลกจับตา ช่องแคบฮอร์มุซ
Gold Bullish
- ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเพิ่มความไม่แน่นอน
- ความเสี่ยงปิดช่องแคบฮอร์มุซดันราคาน้ำมันพุ่งสูง
- การเสริมกำลังทางทหารของสหรัฐฯ กระตุ้นตลาดสินทรัพย์ปลอดภัย
- แถลงการณ์ BRICS และ UNSC เตือนสถานการณ์ลุกลาม
Gold Bearish
- ข่าวเจรจานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ลดความกังวลตลาด
- แรงขายทำกำไรระยะสั้นหลังราคาทองพุ่งสูง
ความตึงเครียดตะวันออกกลางปะทุ
สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายในอิหร่านเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้อิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลและโดรนกว่า 150 ลูกเข้าใส่อิสราเอล รวมถึงการโจมตีโรงพยาบาล Soroka ในนครเบเออร์เชบา จนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
การโจมตีข้ามประเทศทวีความรุนแรง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน สหรัฐฯ ได้เปิดปฏิบัติการทางทหารร่วมกับอิสราเอล ภายใต้ชื่อ “Midnight Hammer” โจมตีโรงงานนิวเคลียร์หลักของอิหร่าน ได้แก่ Fordow, Natanz และ Isfahan โดยใช้ระเบิดชนิด bunker buster (GBU 57) และขีปนาวุธ Tomahawk ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่าได้ “ทำลายขีดความสามารถนิวเคลียร์ของอิหร่าน” อย่างรุนแรง พร้อมประกาศสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ และเตือนว่าหากกองกำลังสหรัฐฯ ในภูมิภาคถูกโจมตี จะมีการตอบโต้ทางทหารทันที
ช่องแคบฮอร์มุซ – จุดเปราะบางของโลก
ความกังวลต่อเสถียรภาพในภูมิภาคพุ่งสูงสุด โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันราว 17 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น กว่า 20% ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก และยังเป็นทางหลักในการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากกาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่านเอง บริษัทขนส่งน้ำมันรายใหญ่ เช่น Frontline และ OSG ได้เริ่มชะลอการเดินเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หรือเปลี่ยนเส้นทางไปยังทะเลแดง ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งและประกันภัยพุ่งขึ้นทันทีถึง 25% ภายใน 72 ชั่วโมง
การเสริมกำลังในภูมิภาค
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ส่งกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าสู่ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกาตาร์ บาห์เรน และซาอุดีอาระเบีย ประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Dwight D. Eisenhower และ USS Nimitz พร้อมระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD และ Patriot รวมถึงทหารภาคพื้นดินกว่า 3,000 นาย ขณะเดียวกัน Mossad และกองทัพอากาศอิสราเอลได้ดำเนินปฏิบัติการลับในอิหร่านตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนเพื่อเตรียมการโจมตีและขัดขวางระบบสื่อสารของฝ่ายตรงข้าม
ราคาน้ำมันส่อทะลุ 100 ดอลลาร์
สถานการณ์ความตึงเครียดยังส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงาน โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 18% ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน และมีแนวโน้มจะทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดจริง นักวิเคราะห์จาก Bloomberg เตือนว่าโลกอาจเผชิญกับ “Shock Supply” ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตน้ำมันปี 1973 ซึ่งจะกระทบต่อเงินเฟ้อและต้นทุนพลังงานทั่วโลกอย่างรุนแรง
BRICS, UN และการทูตโลก
กลุ่มประเทศ BRICS โดยเฉพาะ จีนและรัสเซีย ออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน เรียกร้องให้อิหร่านและอิสราเอล “หยุดยั้งการใช้กำลังทันที” และเตือนว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลกอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ที่ประชุมสหประชาชาติ (UNSC) มีเสียงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติปฏิบัติการทหาร โดยจีน รัสเซีย และปากีสถานย้ำว่า “วิธีแก้ปัญหาไม่ควรมาจากการใช้กำลัง” ขณะที่สหรัฐฯ และอังกฤษแสดงจุดยืนเคียงข้างอิสราเอล
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
- 24 มิ.ย. นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รายงานนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
- 25 มิ.ย. นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รายงานนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐ
- 26 มิ.ย. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเตรียมเผยตัวเลขประมาณครั้งสุดท้าย สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2568
- 27 มิ.ย. ติดตามดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE และ Core PCE Price Index) ของสหรัฐฯ
แนวโน้มราคาทองในสัปดาห์
หลังตลาดตอบรับปัจจัยที่เข้ากระทบในช่วงเช้า ส่งผลให้ราคาทองรวมถึงน้ำมันมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น แต่หลังจากตลาดรับผลของสถานการณ์แล้ว และประเมินว่าสถานการณ์อาจไม่รุนแรงอย่างที่ตลาดมีความกังวล ราคาจึงค่อยๆย่อตัวลงอีกครั้ง แต่สถานการณ์ต่างๆยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จึงประเมินว่าราคายังคงแกว่งตัวออกข้างในลักษณะ Sideway ในกรอบ 3,325-3,400 ดอลลาร์ เพื่อรอความชัดเจนของสถานกรณ์ในสัปดาห์นี้
ในสัปดาห์นี้แนะนำรอเข้าซื้อสะสมจากแนวรับที่ระดับ 3,325 ดอลลาร์ (เทียบเท่าราคาทองแท่งในประเทศที่ 51,800 บาท) โดยมีเป้าหมายทำกำไรบริเวณที่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ (เทียบเท่าราคาทองแท่งในประเทศที่ 53,000 บาทตามลำดับ) และตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับที่ระดับ 3,300 ดอลลาร์ลงไป (เทียบเท่าราคาทองแท่งในประเทศที่ 51,500 บาท)